บางส่วนจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึกเล่มที่ 3 และ แม่ชีประทุม โชติอนันต์ (๖) โดย พระเล็ก จิตตฺคตฺโต (ข้อมูลคัดลอกมาอ้างอิงว่า คุณแม่ชีท่านบันทึกไว้เอง)
พระโคตรเศรษฐีเนื้อแร่ล้วน คุณแม่ชีประทุม โชติอนันต์
พระชุดนี้หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) เคยให้การรับรองเมื่อครั้งแรกที่คุณแม่ชีประทุม สร้างและนำไปให้หลวงพ่อดูและจะขอให้หลวงพ่อปลุกเสกให้
คุณแม่ชีประทุม โชติอนันต์ ได้สร้างพระโคตรเศรษฐีครั้งแรกจำนวน 285 องค์ โดยคุณแม่ชีประทุมท่านน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 9 องค์ ส่วนที่เหลือนำออกให้ญาติโยมที่มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญองค์ละ 10,000 บาท เพื่อหาเงินสร้างพระมหาวิหารโคตรเศรษฐีสุรนารีวรนาถ เพื่อเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 28 พระองค์ และเมื่อทำเสร็จได้นำพระไปหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ บันทึกมีไว้ดังนี้.-
.....ในฤดูฝน หลังคาที่มุงด้วยหญ้าคาผุเก่า ฝนตกครั้งไรทำให้แม่ชีมีความสลดใจมาก เพราะพระพุทธรูปทั้งหมดสามสิบสองรูป มีรูปหลวงพ่อปาน และรูปหลวงพระพ่อพระราชพรหมยานเปียกฝน แม่ชีเห็นสิ่งที่เคารพบูชาสูงสุด เป็นเช่นนี้จึงได้คิดแก้ไขว่า เราควรทำอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นในกาลครั้งนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น อยู่มาในค่ำคืนนั้น แม่ชีจึงได้จัดเตรียมการขึ้นในค่ำคืนนั้นเอง จะลองว่า ตั้งแต่เราได้ปฏิบัติมาจนถึงขณะนี้จะมีบารมีมากน้อยแค่ไหน ถ้าบารมีของลูกสูงคงสมปรารถนา ถ้าบารมีของเราน้อยยังไม่ถึง คงจะไม่ได้สมความตั้งใจในครั้งนี้ แม่ชีนั่งบริกรรมเอาจิตน้อมถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม แลพระอริยะสงฆ์ พระอรหันตสาวกทั้งหมด ครูบาอาจารย์มี หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อ และทั้งหมดซึ่งทรงด้วยคุณธรรม นึกถึงท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ และท่านท้าวมหาราชทั้งสี่พระองค์ และเทวดาทั้งหมดโลกธาตุ นึกถึงทานศีลบารมีสิบที่ได้บำเพ็ญเพียรมา นึกถึงเทวดาองค์ที่ท่านมาบอกชื่อไว้ว่า ถ้ามีอะไรที่จะให้ท่านช่วยละก็ให้นึกถึงชื่อท่าน แล้วท่านจะมาสงเคราะห์ และได้เล่าความเป็นมาขึ้นในจิตว่า
"การขอของข้าพเจ้าครั้งนี้ ข้าพเจ้ามิได้มีความโลภเกิดขึ้นเฉพาะตัวเอง การขอครั้งนี้ เป็นไปเพื่อต้องการให้พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองถวารสืบไปในภายภาคหน้า และขอได้มีวิหารถาวรสักหลังหนึ่ง ถ้าการขอของข้าพเจ้าครั้งนี้ ยังมีปัญหาเจือปนอยู่แล้วไซร้ ขอท่านทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ จงอย่าได้สงเคราะห์ข้าพเจ้าเลย ถ้ามาตรแม้นข้าพเจ้าบริสุทธิ์ใจจริง สะอาดจริงแล้ว ขอท่านทั้งหลายที่กล่าวนามมาก็ดี ที่มิได้กล่าวนามมาก็ดี จงได้โปรดรีบมาช่วยข้าพเจ้าโดยด่วน ตามคำปรารถนาของข้าพเจ้าครั้งนี้ด้วยเถิด" นั่งไปทำไปตามเรื่องตามราวตลอดมาจนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ได้นั่งทำมาประมาณ สิบหรือยี่สิบวันดูจะไม่ถึงนี่แหละ ในเวลาบ่ายมีแม่ชีองค์หนึ่ง เดินเข้ามาในสำนัก แม่ชีเหลียวหน้าดูว่าเป็นใครก็รู้ทันทีว่า แม่ชีองค์นี้เราได้ไล่ให้เธอออกไปจากสำนัก เพราะมีความประพฤติไม่ค่อยดี ชอบเล่นหวย กินข้าวเย็น พอแม่ชีมาถึงก็ตรงลงกราบ แม่ชีจึงถามเธอว่า "เธอมีธุระอะไรกับแม่หรือ" แม่ชีเธอตอบว่า"มีค่ะแม่ (เธอพูดแล้วพร้อมกับหยิบของวางไว้ข้างหน้า) ของสิ่งนี้นะค่ะ มีคนฝากมาให้แม่เพื่อร่วมสร้างวิหาร" แม่ชีได้ฟังตามที่แม่ชีเธอเล่าบอก จึงได้ถามแม่ชีขึ้นว่า "ใครเป็นผู้ฝากของสิ่งนี้มาให้ ผู้ฝากเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย" เมื่อแม่ชีได้ฟังจึงตอบขึ้นว่า "เป็นผู้ชาย คืออย่างนี้นะคะคุณแม่ ในค่ำคืนหนึ่งดิฉันได้นั่งปฏิบัติอยู่ในถ้ำ คืนนั้นอยู่ในราวประมาณห้าทุ่มเห็นจะได้ เกิดนิมิตเห็นผู้ชายแต่งตัวสวยงาม อร่ามด้วยเครื่องทองมายืนอยู่ข้างหน้า และชายนั้นได้พูดขึ้นว่า "พรุ่งนี้ตอนสองโมงเช้า เธอจงแต่งขันธ์ห้าขึ้น และจงมานั่งที่ตรงนี้ใหม่ ฉันจะฝากของสิ่งหนึ่งให้เธอ เอาไปให้แม่ชีประทุม เพื่อร่วมสร้างวิหาร" ดิฉันรับคำท่านแล้ว ท่านก็หายไป พอรุ่งเช้าดิฉันได้จัดแต่งเครื่องขันธ์ห้า พอได้เวลาก็ไปนั่งตามเดิม ดิฉันนั่งสมาธิจนถึงสิบโมงกว่า จึงคลายออกมา พอลืมตาก็เห็นของสิ่งนี้วางอยู่ ดิฉันนึกได้ทันทีเลยว่าของวางข้างหน้านี้ เป็นของที่ฝากมาให้แม่ ฉันจึงนำมา เพราะที่ตรงที่ฉันนั่งปฏิบัติมา ฉันกวาดเตียนไม่เคยมีอะไร ฉันนั่งปฏิบัติมาสองเดือนกว่าแล้วค่ะคุณแม่ ฉันไม่เห็นมีก้อนอะไรเลย" แม่ชีแก้ห่อดูของ เห็นเหมือนก้อนหิน แต่มีร่องรอยถูกตัดแหว่งไป แม่ชีเห็นของมีรอยถูกตัดไป จึงถามแม่ชีเธอว่า "ของทำไมมีรอยถูกตัดเช่นนี้" แม่ชีมีสีหน้าไม่ค่อยดีตอบว่า เธอได้ของแล้ว เธอห่อของ ตั้งใจเดินทางเอาของมาให้คุณแม่ ตามคำสั่ง เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง ได้พบชายคนหนึ่ง เขาทำงานอยู่แถวนั้น เขาขอดู เธอให้เขาดู เมื่อเขาดูแล้ว เขาขอฉัน ฉันให้เขาคะ แม่ชีฟังเธอเล่าจบลง แม่ชีพูดว่า "เธอนี่ผิดอย่างหนักรู้ไหม เธอกล้าเอาของซึ่งเจ้าของไม่มีตัวตน ฝากมาให้ฉัน เอาแบ่งให้กับผู้อื่น ซึ่งของนี่มิใช่ของเธอ ทำผิดมาก เดี๋ยวเธอจะเดือดร้อน" ครั้นอยู่ต่อมา แม่ชีได้เดินทางมาหา แม่ชีเธอเล่าว่า "แม่ค่ะเดี๋ยวนี้ฉันทำสมาธิไม่ได้เลย ฌานที่เคยเห็นมาแต่ก่อนนั้น มันไม่เห็นเสียแล้ว" อยู่ต่อมาทราบว่าสึกไปแล้ว
ครั้นต่อมา หลังจากที่ได้รับของแล้ว ในวันนั้น แม่ชีเอาผ้าขาวปูใส่พานบูชาไว้ตรงหน้าหลวงพ่อปาน พอตอนกลางคืนในเวลาเช้ามืด ตีห้าครึ่งออกจากสมาธิ แต่ยังนั่งเฉยอยู่ แม่ชีมีความรู้สึกว่า มีคนมายืนอยู่ใกล้ทางด้านซ้ายมือ แม่ชีเหลียวดู เห็นขาโต วัดดูคงได้ประมาณยี่สิบนิ้วเศษ ไม่เห็นเข่า คือ มองดูไม่มีเข่า เข่ามองไม่เห็น...แม่ชี..เห็นเช่นนั้น ท่านมายืนชะโงกดูของอยู่ แม่ชียกมือขึ้นพนม และพูดกับท่านว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านมาดูของท่านหรือคะ เวลานี้แม่ชีได้รับของที่ท่านส่งมา ช่วยร่วมสร้างวิหารแล้ว เวลานี้ของใส่พานไว้ตรงหน้าหลวงพ่อปานนั่นแหละคะ ขอท่านจงช่วยดูแลรักษาของไว้ด้วย อย่าได้มีอันตราย เพราะสำนักนี้มีแต่ผู้หญิง ขอให้ท่านดูแลไว้ให้ดีด้วย จะได้สร้างวิมานแล้วคราวนี้ ท่านโปรดโมทนาแม่ชีนะคะ" แม่ชีพูดจบท่านเดินหายออกไป ครั้นต่อมา แม่ชีหยิบของมาดูนึกได้ว่า เราควรจะเอาของนี้ไปให้หลวงพ่อ เพื่อกราบเรียนให้ท่านทราบ แม่ชีเดินทางไปหาหลวงพ่อที่ซอยสายลม เมื่อเข้าพบเอาของให้หลวงพ่อดู หลวงพ่อถามแม่ชีว่า "นั่นอะไร ของเป็นมันวับเช่นนั้น หรือ โยมจะเอาของมาให้ฉันทำอะไร" แม่ชีกราบเรียนไปว่า "ของนี้ โยมได้มาจากการปฏิบัติ มันวาวเองคะหลวงพ่อ” "เออ ดีนะโยม" แม่ชีเห็นคนเอาเครื่องสังฆทาน เข้าไปถวายหลวงพ่อกันมาก จึงลาออกมาก่อน เมื่อนั่งแล้ว หลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า "โยมที่เอาของมาให้ดูนั้นน่ะ เก็บของไว้ให้ดีนะ พันปีมีค่ามหาศาล โยมรักษาไว้นะ" หลังจากนั้นแล้ว จึงได้ลาหลวงพ่อกลับ และเดินทางกลับปากช่อง ครั้นต่อมาในวันหนึ่ง แม่ชีช่วงนี้ป่วยบ่อยๆ ไม่ค่อยสบาย นอนป่วย แต่เอาของมานอนดู คิดจะทำอะไรดี เพราะของนี้เราไม่เคยเห็น คิดมาคิดไป แหม น่าจะให้เป็นทองคำเราจะได้รู้จัก นี่เป็นของที่เราไม่รู้จัก จะเอาไปทำเป็นอะไรก็ไม่รู้จะทำอะไรดี นึกเช่นนี้ น่ากลัวจะไม่ได้สร้างเสียแล้ววิหาร ใครเขาก็ไม่รู้ จะไปซื้อขายก็ไม่กล้า เพราะกลัวคนเขาไม่รู้จัก เขาจะมองหน้าเอา เมื่อไม่ได้สร้าง ก็ไม่สร้าง ตัดขันธ์ห้าดีกว่า ขืนคิดถึงของไม่มีประโยชน์ ของสิ่งนี้พาไปนิพพานไม่ได้ ว่าแล้วก็นอนหลับปลดขันธ์ห้า แต่ของนั้นยังอยู่ข้างตัวแม่ชี พอพิจารณาขันธ์ห้า ย้อนมาย้อนไปอยู่เช่นนั้น จับพุทโธบ้าง จับอานาปานุสติบ้าง ได้ยินเสียงพูดขึ้นข้างหูขวาว่า "ของในห่อนั้นมีค่ามหาศาลนัก" พูดเน้นเสียงหนักมาก น่ากลัวท่านเคืองแม่ชีที่ว่า "ท่านน่าจะให้ทองคำ ให้อะไรมาไม่รู้จัก" น่ากลัวท่านคงเคืองจึงพูดเน้นเสียงหนักเช่นนี้ คงเห็นว่าให้มาแล้ว ยังแสดงความโง่มากนัก เมื่อแม่ชีได้ยินเสียงพูดอยู่ที่หู ตกใจลุกขึ้นเรียกแม่ชีเล็กให้เธอเข้ามาใกล้ๆ ฉันจะทดลองดู ให้แม่ชีตัด แต่ก่อนตัดได้ขอขมาโทษก่อน จึงตัดออกมาก้อนหนึ่ง เอาขึ้นตั้งไฟ กว่าจะละลายนานมาก พอละลายออกมาทั้งหมดเท่านั้น คือ ทองคำขาวไม่ผิด เนื้อสะอาดใสแจ๋ว เป็นรัศมีแวววาว หลายสีหลายแสง น่าอัศจรรย์จริงเมื่อแม่ชีเห็นแสงวาววับจับตา จิตก็น้อมไปว่า จะให้ทำเป็นสิ่งใดจงบอกมา พอดีจิตมีความรู้สึกว่า ไปทำพระขึ้น พอดีโยมมาจากจันทบุรี แม่ชีเห็นมีโอกาส จึงให้โยมขับรถไปส่งกรุงเทพฯ ทันที เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้วบอกให้หาตามร้านที่เขาทำพิมพ์พระ เมื่อติดต่อว่าจ้าง เขาทำพิมพ์พระเสร็จ จึงนำของไปเข้าที่โรงรีด เมื่อรีดเสร็จจะนำแผ่นของไปเข้าพิมพ์ ในระหว่างที่รีดอยู่นั้น แม่ชีเฝ้าอยู่ตลอด ได้ยินคนที่รีดพูดขึ้นว่า "เอ นี่มันมันอะไรเนื้อสวยจัง ทีแรกนึกว่าเป็นตะกั่วเสียอีก" แม่ชีเลยทำเป็นไม่ได้ยินเขาคุยกัน ในระหว่างที่เข้าเครื่องพิมพ์อยู่นั้น แม่ชีเอาจิตอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ครูอาจารย์ทั้งหมด มีปู่พระอินทร์ แม่ย่า แม่ศรี ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ มี ท้าวธตรฐ เทวดาทั้งหมดเชิญมาร่วมในการทำพระในครั้งนี้ ครั้งนี้ได้ทำขึ้น 285 องค์
เมื่อทำเสร็จ ข้าพเจ้านำพระเครื่อง 285 องค์นี้ไปหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัด อุทัยธานี )
เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้วเหลือแต่คณะของข้าพเจ้า หลวงพ่อหันมาทางข้าพเจ้าถามว่า "โยมชีมีอะไรจะคุยกับฉันหรือ"
ข้าพเจ้าตอบว่า "มีเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
หลวงพ่อพูดขึ้นว่า "นั่นเอาอะไรมาด้วยล่ะ เอาผ้าคลุมไว้นั่นน่ะ"
เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงตอบว่า "คือโยมเคยนำของที่ได้จากการปฏิบัติไปให้หลวงพ่อดูครั้งหนึ่งที่บ้านสายลม แล้วเจ้าค่ะ ครั้นต่อมาหลังจากนั้นโยมได้จัดทำเป็นรูปพระขึ้น"
หลวงพ่อว่า "เออ..ว่ามา"
ข้าพเจ้ากราบเรียนให้ท่านทราบว่า "พระของโยมทำขึ้นครั้งนี้ไม่เหมือนใคร ทำเป็นสองหน้า หน้าหนึ่งทำเป็นพระทุ่งเศรษฐี อีกหน้าหนึ่งทำเป็นพระศิวลีค่ะหลวงพ่อ"
หลวงพ่อเมื่อฟังข้าพเจ้าพูดจบลง หลวงพ่อได้เอ่ยขึ้นว่า"ไหนว่าไม่เหมือนของใคร ยกพานมาให้ฉันดูหน่อยซิ"
ข้าพเจ้ากราบเรียนให้ท่านทราบว่า "โยมทำครั้งนี้ 285 องค์เจ้าค่ะหลวงพ่อ"
เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อรับพานพระแล้ว หลวงพ่อได้หยิบพระดู ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และได้กล่าวขึ้นว่า "เออ..เข้าใจ..เข้าใจ ข้างหนี่งเป็นทุ่งเศรษฐี ข้างหนึ่งพระสีวลี เข้าใจจริงๆ เข้าใจจริงๆโยมนี่"
"นี่นะโยม พระของโยมนี่ ถ้าผู้ใดได้ไปบูชา จะเป็นเศรษฐี โคตรเศรษฐี จนไม่เป็น ดีมากนะโยมนี่ เป็นคนมีปัญญา เอาล่ะนะ ฉันจะบอกให้ พระของโยมที่ทำมาทั้งหมดนี้ ถึงแม้จะไม่มีรูปพระเลย ของๆโยมก็ขลัง เขาสำเร็จอยู่ในตัวเขาแล้ว ให้ใครเอาไปทำอะไรๆ ให้ยิ่งกว่าทำ คำว่าเสื่อมไม่มี ของๆโยมนี้ใช้ได้ทุกอย่างเลยครบหมด เนื้อเกลี้ยงๆก็ขลัง"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามต่อขึ้นว่า "เมื่อขณะที่ทำพระใครคุมอยู่"
ข้าพเจ้ากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นว่า "โยมขออาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดทุกๆพระองค์ ครูบาอาจารย์ทั้งหมด เทวดาทั้งหมด โยมคุมอยู่ด้วยเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
พระเดชพระคุณได้กล่าวขึ้น "เออ มันฉลาดอย่างนี้ เอาล่ะนะ ฉันจะถามโยมว่า ก่อนที่โยมจะได้ของสิ่งนี้มา โยมทำอย่างไรถึงได้ของ"
ข้าพเจ้ากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นด้วยความเคารพยิ่งขึ้นว่า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ของโยม โยมมีความเคารพเป็นที่สุด โยมขอกราบเรียนด้วยความจริงทุกประการด้วยเคารพเจ้าค่ะ หลังจากออกพรรษาในปี 2530 โยมได้มากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เรื่องคุณวิรัช มั่งเรืองสกุล ได้ถวายที่ดินให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมในปีนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อนุญาตให้โยมรับที่ดินไว้ จึงได้จัดการก่อสร้าง มีกุฏิ 4 หลัง ไว้เป็นที่พักสำหรับแม่ชีที่อยู่ประจำ มีห้องน้ำห้องส้วมเสร็จ ได้ต่อศาลาไว้ปฏิบัติธรรม ทำวัตรเช้า-เย็น 1 หลัง ห้องน้ำห้องส้วม โรงอาหาร เครื่องต่อใช้ไม่ป่า ต้นกระถินณรงค์เป็นเสา ต่อมาปลวกกินจนเสาขาด หลังคาทั้งหมดมุงด้วยหญ้าคาผุ เวลาฝนตกรั่วต้องเอาผ้าพลาสติกคอยกันกั้นไว้ ฝาศาลาสวดมนต์ใช้ผ้าเหลืองจีวรพระที่ท่านไม่ใช้ ขอมากั้นบังฝน พอลมตีมาลำบากมากทุลักทุเล พระพุทธรูปมี 28 พระองค์ มีโยมกรุงเทพฯ เขามาถวายไว้บูชาอีก 1 องค์ รูปเหมือนหลวงปู่ปานอีก 1 องค์ รูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก 1 องค์ รวมทั้งหมด 31 องค์ค่ะ"
โยมเห็นพระพุทธรูปเปียกฝน โยมเกิดสังเวชใจมากที่สุด โยมคิดขึ้นในตอนนั้นว่า จะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ตั้งแต่ปฏิบัติมายังไม่เคยจะลองทำประโยชน์อะไรให้กับพระศาสนาเด่นชัดขึ้นมา เลย ในคืนนั้นเอง โยมตั้งใจเต็มกำลังการปฏิบัติจะได้ขั้นไหน ตอนไหนก็ตามจะไม่คำนึงถึง ตั้งใจมั่นคงเด็ดเดี่ยว เข้านั่งสมาธิแล้ว เจริญเมตตาไปในทิศทั้งปวง ทั่วโลกธาตุ ถึงหมู่สัตว์ทั้งหลายไม่มีที่ประมาณ จงถึงความสุขด้วยพระพุทธานุภาพ จงถึงความสุขด้วยพระธรรมานุภาพ จงถึงความสุขด้วยพระสังฆานุภาพ ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแต่อดีดถึงปัจจุบัน ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาโดยทั่วกัน
ตั้งจิตระลึกนึกน้อมถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด พระธรรมคำสอนของพระองค์ที่ข้าพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามอยู่ขณะนี้ นึกถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อด้วย และสมเด็จโตพรหมรังสี และเทวดาทั้งหมด มีปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่พระองค์ มีท่านท้าวธตรฐ คือท่านท้าวธตรฐองค์นี้ เมื่อสมัย พ.ศ. 2514 ท่านมาปรากฏให้โยมเห็นค่ะหลวงพ่อ ท่านบอกชื่อท่านให้โยมรู้จัก ท่านชื่อว่าท่านท้าวธตรฐ ถ้าโยมมีอะไรจะให้ท่านช่วยเหลือ ท่านให้โยมนึกถึงชื่อท่าน ตอนก่อนโยมไม่เชื่อเท่าไรนัก ครั้นโยมได้มาพบหลวงพ่อได้ฟังเทปสมาทานหลวงพ่อ และได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อ โยมจึงได้เข้าใจ โยมจึงนึกถึงท่านให้ท่านมาช่วยในกิจของพระศาสนา โยมเอาจิตน้อมถึงทานบารมี นึกถึงทานที่ให้แล้ว ศีลบารมี นึกถึงศีลที่ได้สมาทานจะรักษาไว้ให้ดี ไม่ทำลายศีลจนตลอดชีวิต ปัญญาบารมี จะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งแห่งขันธ์ห้า ให้เข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ เนกขัมบารมี การถือบวชของข้าพเจ้าบวชครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย คำว่าสึกจะไม่มี จะช่วยกิจของพระศาสนาตลอดชีวิต วิริยะ บารมี จะขยันทำจิตให้เข้าถึงพระนิพพาน
สัจจะ บารมี ข้าพเจ้าขอตั้งจิตจะพูดอย่างไหนทำอย่างนั้นตลอดชีวิต
อธิษฐานบารมี คำอธิษฐานของข้าพเจ้าที่ตั้งใจมั่นคงครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ถอยออกจนตลอดชีวิต ขันติบารมี ข้าพเจ้าจะอดทนในสิ่งจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าทุกประการ
เมตตาบารมี ข้าพเจ้าขอทรงเมตตาตลอดทั่วโลกธาตุ แม้แต่ผู้นั้นจะคิดทำร้ายข้าพเจ้าก็ตาม อุเบกขา บารมี ข้าพเจ้าจะวางเฉยด้วยประการทั้งปวง จะทำสติให้รู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะดีหรือร้ายก็ตามจะไม่หวั่นไหวกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จะทำสติให้รู้ว่านั่นคืออนิจจัง นั่นคืออนัตตา จะทรงกำหนดจิตไม่คลอนแคลนไว้ด้วยความเคารพตลอดชีวิต บารมี 10 ทั้งหมดที่บำเพ็ญมาเพื่อความหลุดพ้นไม่ต้องกลับมาเกิด จงมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเวลานี้ ข้าพเจ้ามีทุกข์เดือดร้อน
แต่ทุกข์ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ไม่เหมือนผู้ครองเรือน ขณะนี้ข้าพเจ้ากำลังได้รับความทุกข์ เพราะศาลาที่ประดิษฐานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและที่ปฏิบัติธรรมของ ข้าพเจ้าชำรุดทรุดโทรม ลมมาก็ต้องหาไม้มาค้ำไว้ ถ้าการขอครั้งนี้เห็นว่าข้าพเจ้ายังไม่หมดตัณหา และเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัวของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายไม่ต้องช่วย ถ้าการขอของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ สะอาดจริงแล้ว ขอท่านทั้งหลายและท้าวธตรฐ จงช่วยข้าพเจ้าโดยด่วนด้วยเจ้าค่ะ
ครั้นต่อมาโยมเข้านั่งสมาธิและเข้าฌานเต็มกำลัง จากฌานที่ 1 ขึ้นไปถึงฌานที่ 4 ถอยรองลงมาจนถึงฌานที่ 1 หยุดอยู่แค่อุปจารสมาธิ แล้วขอดังเช่นเดิม เข้าฌานต่อไปจนถึงที่สุด แล้วถอยลงมาแค่อุปจารสมาธิ แล้วขออีก ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 10 หรือ 20 วัน โยมไม่ได้นับ ถือว่าท่านให้ก็เอา ท่านไม่ให้ก็แสดงว่าโยมยังดีไม่พอ
หลวงพ่อเมื่อได้ฟังข้าพเจ้าเล่าเรื่องให่ท่านฟังจบลง ท่านจึงได้เอ่ยขึ้นว่า "โยมรู้ไหมว่า ของที่โยมได้มานั้นเป็นของใคร ฉันจะบอกให้นะโยม ของที่โยมได้มานั้นเป็นของๆท่านผู้สำเร็จท่านทำไว้แล้ว ท่านก็ฝากกับเทวดา เมื่อท่านฝากกับเทวดา ท่านสั่งกับเทวดาไว้ว่า ถ้าผู้ใดมีบุญบารมีเห็นสมควรให้ ก็ขอเทวดาจงให้ของสิ่งนี้เถิด นี่โยมจึงได้มายังไงล่ะโยม"
ข้าพเจ้า กราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ "ช่วยเมตตาปลุกเสกพระเครื่องของโยม เพื่อเป็นศิริมงคลด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
พระเดช พระคุณหลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า "เสกทำไมอีกเล่าโยม ของเขาดีอยู่แล้วถ้าโยมจะให้ฉันปลุกเสกละก็เอาอย่างนี้ดีกว่า โยมนั่นแหละไปทำขึ้น เพราะอะไรๆโยมก็ทำได้หมดแล้ว จะเอาอะไรอีกเล่า "
ข้าพเจ้ากราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นว่า "จะต้องใช้มนต์บทไหนสวดเล่าค่ะหลวงพ่อ"
หลวง พ่อพูดแกมดุขึ้นว่า "ก็อีตอนได้ของมานั่นแหละสวดบทไหนเล่า"
ข้าพเจ้ากราบขอขมาหลวงพ่อ จึงได้เข้าใจว่าใช้พลังจิตนี่เอง ไม่โดนดุเอาความโง่ออกไปปัญญาไม่เกิด หมดเวลาหลวงพ่อกลับเข้าที่พัก ท่านโอเดินย้อนกลับมาหาข้าพเจ้า ท่านพูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า "โยมชีเอาพระของโยมเก็บไว้ให้อาตมาสัก 10 องค์นะ" ข้าพเจ้าตอบ " ได้ค่ะ แต่พระของโยมไม่ใช่ราคาเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อนะ เพราะโยมจะต้องการสร้างพระมหาวิหาร ต้องให้บูชาองค์ละ 10,000 บาทนะคะท่าน" เมื่อท่านโอได้ฟังข้าพเจ้าบอกราคา ท่านโอจึงได้พูดขึ้นว่า "งั้นฉันจอง 2 องค์นะ" เวลานี้ท่านโอยังมีชีวิตอยู่ที่วิหาร 100 เมตร ข้าพเจ้าขอย้อนรำลึกนึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ทั้งหลาย หลวงพ่อรู้หมด หลวงพ่อรู้แจ้ง บริสุทธิ์โดยไม่ต้องสงสัย พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นพระที่ควรกราบไหว้บูชา พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญของโลก
" นี่นะโยม พระของโยมนี่ ถ้าผู้ใดได้ไปบูชา จะเป็นเศรษฐี โคตรเศรษฐี จนไม่เป็นดีมากนะ โยมนี่เป็นคนมีปัญญา เอาล่ะนะฉันจะบอกให้ พระของโยมที่ทำมาทั้งหมดนี้ ถึงแม้จะไม่มีรูปพระเลย ของๆโยมก็ขลัง เขาสำเร็จอยู่ในตัวเขาแล้ว ให้ใครเอาไปทำอะไรๆ ให้ยิ่งกว่าทำ คำว่าเสื่อมไม่มี ของๆโยมนี้ใช้ได้ทุกอย่างเลยครบหมด เนื้อเกลี้ยงๆก็ขลัง " **************************************************************
คุณแม่ชีประทุมได้นำแร่นี้ไปให้ทางกรมทรัพยากรธรณีวิทยาพิสูจน์ว่าเป็นโลหะชนิดใด ทางกรมทรัพฯได้รับของไว้พิสูจน์เป็นเวลา 9 วัน
เมื่อครบกำหนดท่านแม่ประทุมก็ได้เดินทางไปรับของคืนและได้รับคำตอบว่าเป็น "ตะกั่ว" เมื่อทราบดังนั้นท่านก็ไม่ได้มีคำกล่าวใดๆ ในขณะที่รอท่านก็เดินดูตามตู้ตัวอย่างของแร่ธาตุต่างๆ ท่านจึงถามแก่เจ้าหน้าที่ว่าในตู้คล้ายๆของท่านเหมือนกันหลายตัวอย่าง น่าจะเป็นตะกั่วชนิดเดียวกันกับของท่านใช่หรือไม่
เจ้าหน้าที่ตอบว่าไม่ใช่เพราะองค์ประกอบทางโลหะและโมเลกุลไม่เหมือนกัน ทางเจ้าหน้าที่เองก็ตอบไม่ได้เพราะไม่มีข้อมูลในสารบบ แต่เพราะเป็นโลหะและมีสีแบบนี้จึงต้องแจ้งว่าเป็นตะกั่ว เพราะไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร
**************************************************************
พระที่สร้างในครั้งนั้นมีทั้งหมด 3 แบบ คือ
1) พระเนื้อแร่โคตรเศรษฐี แบบหนา (เท่าๆเหรียญบาท) ทำบุญ 10,000 บาท
2) พระเนื้อแร่โคตรเศรษฐี แบบบาง (ประมาณตะกรุด) ทำบุญ 2,000 บาท
3) พระเนื้อผงสีดำฝังแร่โคตรเศรษฐี ทำบุญ 100 บาท
*** สำหรับพระคาถาที่ใช้บูชาพระแร่โคตรเศรษฐี คือ พระคาถานมัสการพระพุทธเจ้า 28 พระองค์เหตุเพราะคุณแม่ชีได้กราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่าให้ใช้พระคาถาใดปลุกเสกดี หลวงพ่อตอบว่า ตอนที่ได้แร่โคตรเศรษฐีมานี่ใช้คาถาบทไหนจึงได้มาก็ให้ใช้บทนั้น
บทสวดนมัสการพระพุทธเจ้า 28 พระองค์
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( 3 จบ )
นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มะเหสินัง
ตัณหังกะโร มะหาวีโร เมธังกะโร มะหายะโส
สะระณังกะโร โลกะหิโต ทีปังกะโร ชุตินธะโร
โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข มังคะโล ปุริสาสะโภ
สุมะโน สุมะโน ธีโร เรวะโต ระติวัฑฒะโน
โสภีโต คุณะสัมปันโน อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
ปะทุโม โลกะปัชโชโต นาระโท วะระสาระถี
ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร สุเมโธ อัปปะฏิปุคคะโล
สุชาโต สัพพะโลกัคโค ปิยะทัสสี นะราสะโภ
อัตถะทัสสี การุณิโก ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
สิทธัตโถ อะสะโม โลเก ติสโส จะ วะทะตัง วะโร
ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ วิปัสสี จะ อะนูปะโม
สิขี สัพพะหิโต สัตถา เวสสะภู สุขะทายะโก
กะกุสันโธ สัตถะวาโห โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
กัสสะโป สิริสัมปันโน โคตะโม สักยะปุงคะโว ฯ
เตสาหัง สิระสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตะเม วะจะสา มะนะสา เจวะ
วันทาเมเต ตะถาคะเต สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา
*****************************
แม่ชีประทุม โชติอนันต์ ผู้ก่อตั้งสำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ศิษย์พระราชพรหมยาน จังหวัดนครราชสีมา เกิดเมื่อวันพุธที่ ๕ เมษายน ๒๔๖๙ ที่ตำบลบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา เป็นบุตรคนที่ ๓ จากพี่น้อง ๖ คน บิดานามว่า นายโหร่ง กิจเหมาะ และมารดาคือ นางส้มจีน กิจเหมาะ ชีวิตในวัยเด็กกำเนิดในครอบครัวที่มีฐานะดี เป็นที่นับถือของผู้คนในหมู่บ้าน ต่อมาเมื่อสิ้นบุญคุณปู่ คุณย่า คุณตาไปแล้ว คุณยายของท่านได้ถูกโกงจากการทำสัญญากู้เงินเพราะความไม่รู้หนังสือ จึงทำให้ชีวิตต้องตกอับยากลำบาก ญาติพี่น้องไม่มีใครเหลียวแล ท่านจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
เมื่อเข้ากรุงเทพฯ ท่านได้มีโอกาสถวายงานกับสมเด็จพระนางอินทร์ และต่อมาได้สมรสกับ นายสว่าง โชติอนันต์ ฐานะครอบครัวช่วงนี้เริ่มดีขึ้น มีเงินซื้อที่ดินปลูกบ้านให้พ่อแม่พี่น้อง ชีวิตพอมีความสุขขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่หมดเคราะห์ ถูกโจรขึ้นบ้านถึง ๒ ครั้ง
เมื่อบิดามารดาของท่านสิ้นไป ท่านเริ่มรู้สึกปลงกับชีวิต รู้สึกว่าชีวิตมีแต่ทุกข์หนัก ทำอย่างไรจึงจะหมดจากทุกข์ได้ จึงเริ่มต้นแสวงหาธรรม ฝึกฝนตน สวดมนต์และบำเพ็ญภาวนา
ท่านได้เดินทางไปทางตะวันออกจังหวัดชลบุรี ระยอง และจันทบุรีเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ชี้แนะ แต่ต้องพบอุปสรรคนานาประการ อย่างไรก็ตามท่านยังคงตั้งมั่นในความเพียรไม่ท้อถอย
ท่านได้ประสบนิมิตเห็นพระพุทธรูปมาชี้ทาง ฝันเห็น ท้าวธตรฐ หนึ่งในท้าวจาตุมหาราชประจำทิศตะวันออก และ ท่านปฎาจาราเถรี พระอรหันต์หญิงสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า เป็นเลิศด้านพระวินัย ปลายปี ๒๕๒๖ ขณะที่ท่านเจริญสมาธิได้นิมิตเห็น " หลวงพ่อฤาษี " แต่ขณะนั้นไม่รู้จักว่าพระรูปนี้เป็นใครอยู่ที่ไหน แต่ท่านมีความรู้สึกว่า ต้องตามหาให้พบ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานออกเดินทางติดตามหา ในที่สุดท่านได้เดินทางจากศรีราชาจนมาถึงวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เมื่อได้พบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านจำได้ว่าเป็นพระสงฆ์รูปที่มาปรากฏในนิมิต จึงได้กราบขออยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเป็นเวลา ๗ วัน เมื่อครบกำหนดจึงกราบลาเดินทางไปยังวัดพระพุทธโคดมต่อไป แต่ท่านก็ยังหาโอกาสกลับมากราบนมัสการหลวงพ่ออีกหลายวาระ และได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ตอบคำถามให้ทางจิตอีกด้วย ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ท่านมีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อฤาษีอีกครั้ง และนึกในใจว่า
" ถ้าเราได้หลวงพ่อทำพิธีปลงผมให้ เราจะเอาผมออก " ในวันนั้นหลวงพ่อได้เมตตายกไม้เท้าของท่านขึ้นเขี่ยศีรษะแม่ชีประทุม วนไปวนมาเพื่อเป็นการทำพิธี ซึ่งสร้างความปิติยินดีให้กับท่านเป็นอย่างมาก เมื่อเดินทางกลับจึงได้ทำพิธีบวช ณ วัดมะทาย จังหวัดจันทบุรี โดยมีพระครูประสาทพัฒนกิจ หรือ หลวงพ่อฝ้าย เป็นผู้ประกอบพิธีโกนผม
การบวชในครั้งนั้นท่านได้ตั้งจิตว่า " การบวชของฉันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย คำว่าสึกจะไม่มีจากคำของฉัน " แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ท่านก็พิสูจน์ด้วยธรรมะและจิตที่ตั้งมั่นซึ่งสามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นได้สำเร็จ
ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านได้เดินทางไปปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ได้จำพรรษา ณ วัดใหม่คลองยาง คุณวิรัช มั่งเรืองสกุล ผู้มีโอกาสได้รับฟังธรรมะจากท่านจนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้นิมนต์ท่านอยู่จำพรรษาถาวร โดยได้ถวายที่ดินเพื่อปลูกสร้างกุฏิและศาลาปฏิบัติธรรม หลังจากนั้นท่านแม่ชีจึงกราบเรียนให้หลวงพ่อฤาษีทราบในเรื่องนี้ เมื่อได้รับการอนุญาตจากหลวงพ่อ ท่านจึงรับที่ดินผืนนี้ไว้ ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ สำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ศิษย์พระราชพรหมยาน อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ได้ถือกำเนิดขึ้น
แม่ชีประทุมได้มอบผลงานอันเป็นมรดกแก่พุทธศาสนามากมาย อาทิ วัตถุมงคลชื่อดัง พระเครื่อง โคตรเศรษฐี ซึ่งสร้างจากแร่พันปีของผู้สำเร็จ โดย ท่านท้าวธตรฐ หนึ่งในท้าวจาตุมหาราชประจำทิศตะวันออก ได้เก็บรักษาไว้มอบแก่ผู้มีบุญ เพื่อให้นำมาทำประโยชน์แก่พุทธศาสนาต่อไป ดังที่หลวงพ่อฤาษีได้กล่าวไว้ ปัจจัยจากการให้บูชาพระโคตรเศรษฐีในครั้งนั้น ได้นำมาเป็นทุนในการจัดสร้าง " พระมหาวิหารโคตรเศรษฐีสุรนารีวรนาถ "
ภายในสำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ศิษย์พระราชพรหมยาน ในวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๓๔ เวลาต่อมา
วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๘ ท่านได้จัดพิธีเททองหล่อ สมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๓ ศอก ๒ องค์ รูปเหมือนหลวงปู่ปาน และรูปเหมือนหลวงพ่อฤาษี แบบละ ๒ องค์ เพื่อประดิษฐาน ณ มหาวิหาร
นอกจากนี้ท่านได้ดำริให้จัดสร้าง วิหารอรหันต์หญิง เพื่อประดิษฐานพระอรหันต์ภิกษุณี จำนวน ๑๓ พระองค์ภายในสำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรมฯ แต่ได้สร้างสำเร็จภายหลังท่านละสังขารไปแล้ว และยังมีมรดกทางพุทธศาสนาอีกมากทั้งถาวรวัตถุสิ่งปลูกสร้างภายในสำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรมฯ ตลอดจนธรรมะและแนวการปฏิบัติที่ท่านฝากไว้แก่ศิษยานุศิษย์ เพื่อให้ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๘ แม่ชีประทุมได้ละสังขาร ท่านได้มอบสรีระของท่านฝากไว้แก่ศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นอนุสติในการปฏิบัติของทุกคน ขันธ์ของท่านไม่เน่าเปื่อยสูญสลายไปตามกาล แต่ยังคงสภาพให้ลูกหลานได้กราบไหว้ และเป็นเครื่องเตือนใจให้รำลึกถึงการประกอบความดีจวบจนถึงปัจจุบันนี้
แม่ชีประทุม ถือเป็นอริยะบุคคล ท่านเป็น " พระ " ก่อนละสังขาร และเมื่อละขันธ์ไปแล้ว จึงบังเกิดปาฏิหาริย์ปรากฏ " พระธรรมธาตุ " เสด็จมาประทับสรีระของท่านบริเวณศีรษะ และเพิ่มปริมาณขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความบริสุทธิ์แห่งจิตที่สิ้นแล้วจากอาสวะทั้งปวง ท่านเป็นพระอรหันต์ของลูกหลาน และเป็นสรณะแก้วอันประเสริฐของเหล่าสานุศิษย์โดยแท้
บทความ ณ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐ " บ้านแสงจันทร์ " http://www.saengchandra.com
เพิ่มร้านณัชชาเป็นเพื่อน
ด้วย QR Code ด้านล่างนี้ บัญชีร้านณัชชา
หน้าที่เข้าชม | 1,996,483 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,263,598 ครั้ง |
เปิดร้าน | 12 ก.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |