พระอาจารย์เล็กเล่าประสบการณ์ในการเข้ากรรมฐานครั้งหนึ่ง
“ฐิตกัปปี” ..ผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่ ในบาลีบอกไว้ชัดว่า ถ้าหากว่าไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลก แล้วยังมีบุคคลประเภทนี้อยู่ อย่างไรเสียไฟก็ยังทำลายโลกไม่ได้
การมรณภาพของพระอรหันต์สามารถทำให้เคราะห์กรรมของประเทศไทยเบาลงได้
...ในการเข้ากรรมฐานนั้น สายกรรมฐานอื่นไม่ทราบว่าทำอย่างไรบ้าง ? แต่ถ้าเป็นสายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ท่านแนะนำให้กระผม/อาตมภาพมา มี ๒ วิธีด้วยกัน วิธีแรกก็คือ ดับความรู้สึกทั้งหมดนิ่งอยู่ภายในอย่างเดียว กำหนดเวลาไว้ว่าจะออกเมื่อไร ก็คือสภาพจิตจะไม่ยุ่งกับร่างกายเลย อะไรเกิดขึ้นกับร่างกายตอนนั้น จะประเภทแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอะไรก็ไม่สนใจ อารมณ์ตัดจากร่างกายอย่างสิ้นเชิง
วิธีที่สองก็คือ ส่งจิตไปท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ แต่ก็ไปแบบเดียวกัน คือสภาพจิตไม่ได้ยึดเกาะร่างกายเลย ถ้าทิ้งไปแบบนั้น คนไปเจอเข้าก็จะคิดว่าตายไปแล้ว แต่ความจริงไม่ได้ตาย เพราะว่าร่างกายยังมีปราณละเอียดเหลืออยู่เส้นหนึ่ง
ถ้าหากว่าดูด้วย "สายตาของนักปฏิบัติธรรม" จะเห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ ใส ๆ เหมือนกับใยแมงมุม วิ่งอยู่ระหว่างจมูกกับใต้สะดือ ๓ นิ้ว ถ้าสายนี้ขาด..ตายแน่นอน แต่ถ้าสายนี้ยังอยู่ ต่อให้ไม่หายใจอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะว่าเป็นการหายใจด้วยปราณละเอียดแทน ถ้าวัดด้วยเครื่องมือแพทย์ จะไม่ปรากฏชีพจร
ตรงจุดนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าท่านเข้าห้องเมื่อไร ท่านจะล็อกประตูเลย ส่วนกระผม/อาตมภาพเองเมื่อหลายปีก่อนนั้นพลาด ล็อกประตูเหมือนกัน แต่ว่าทั้งพระทั้งแม่ชี มีกุญแจกุฏิเจ้าอาวาสกันทุกคน ไม่รู้จะมีไปทำอะไร ประมาณว่าพกเอาไว้แล้วอุ่นใจ เหมือนอยู่ใกล้หลวงพ่อ ก็เลยเปิดประตูเข้าไปได้
พอเจอสภาพแบบนั้นเข้า ก็จัดแจง "ยำใหญ่" อาตมาเสียเละเป็นโจ๊ก โดยเฉพาะการเอาผ้าขนหนูทั้งผืนชุบน้ำร้อน แล้วก็ถูทั้งตัว โดยที่คิดว่า ถ้าทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นแล้วหลวงพ่อจะได้ฟื้น อาตมาถอนจิตกลับมาตอนตี ๒ แสบไปทั้งตัว ต้องบอกว่าแทบจะหนังถลอกปอกเปิกไปหมด..!
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็กลายเป็นคนผิวเสีย โดนอากาศเย็นหรือโดนเครื่องปรับอากาศนิดหน่อย ผิวจะแตกร้าวแล้วก็คัน ต้องคอยให้ญาติโยมช่วยทาครีมให้อยู่เรื่อย เพราะว่าตัวเองทาไม่ถึงข้างหลัง ต้องบอกว่าเป็นเวรเป็นกรรมของตัวเอง เพราะว่าต่อให้สั่งไว้ ถ้ากระผม/อาตมภาพเงียบไปเฉย ๆ ก็จะมีคนเข้าไปดูอยู่ดี
คราวนี้ในเรื่องของการเข้ากรรมฐาน กระผม/อาตมภาพได้กราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ด้วยการปลุกเสกวัตถุมงคลก่อน เพราะว่าถ้าลืมก็เป็นเรื่อง..! คราวนี้เนื่องจากวัตถุมงคลนั้นมีพระขุนแผนเคลือบ ที่สร้างเลียนแบบขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งพี่ณพ (พันตำรวจเอกอรรณพ กอวัฒนา) ทำมา แล้วมีตัวหนังสือระบุชัดว่าเป็นสมเด็จองค์ปฐม จึงต้องบอกว่ากลายเป็น "ไฟท์บังคับ" เพราะว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ไม่มีพระองค์ใดยอมเสกพระรูปของสมเด็จองค์ปฐม กระผม/อาตมภาพก็ต้องไปกราบขอบารมีของพระองค์ท่านเอง
ถ้าหากว่าใครไม่เคยไป ไม่เคยเข้าใกล้ ก็จะไม่รู้ว่าพระองค์ท่านน่ากลัวขนาดไหน ขออภัยนะครับ...คำว่าน่ากลัวนี่ไม่ได้ใช้ผิด ลองไปถามมหาเอดู ท่านพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ไปเจอพระองค์ท่านเข้า นั่งสั่นแหง็ก ๆ เป็นเจ้าเข้า อาตมาต้องไปช่วยลากออกมา ไม่อย่างนั้นก็ขาดใจตายไปแล้ว..! คือบารมีของท่านที่แผ่ออกมานี่ พวกเราเหมือนกับลูกไก่อยู่ต่อหน้าพญางู แทบจะกระดิกตัวไม่ออกเลย..!
สมัยที่พระองค์ท่านสงเคราะห์หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ ถ้าพระองค์ท่าน "ลง" เมื่อไร คำว่าลงนี่ก็คือพระองค์ท่านคลุมลงมา ไม่ใช่เข้าทรง แต่เป็นการที่ตั้งใจสงเคราะห์ด้วยการ "ผ่าน" หลวงพ่อวัดท่าซุงลงมา พระวัดท่าซุงทุกรูปก้มหน้าดูดินหมด ไม่มีใครหาญกล้าสบตาแม้แต่รูปเดียว..!
จนกระทั่งเป็นที่สังเกตของพวกกระผม/อาตมภาพกันมา ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าหากว่าหลวงพ่อสมเด็จพระสมณโคดมเสด็จ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะผิวขาวผ่อง ถ้าหากว่าเป็นหลวงพ่อพระพุทธกัสสป ผิวหลวงพ่อท่านจะออกสีเหลืองทอง ถ้าเป็นสมเด็จองค์ปฐมมาเมื่อไรก็ดำปี๋เลย แล้วเรื่องพวกนี้เราต้องสังเกตกันเอง หรือไม่ก็สังเกตจริยาในการที่พระองค์ท่าน พูดคุยกับพวกเราผ่านหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกมา ถ้ารู้จักสังเกต ก็จะแยกแยะออกว่าเป็นพระองค์ไหน
ในเรื่องของกำลังของพระ หรือพรหม เทวดา ที่ท่านคลุมลงมานั้น ถ้าหากว่าไม่สังเกตจริง ๆ จะไม่รู้ตัว บังเอิญว่ากระผม/อาตมภาพได้ทำหน้าที่อยู่ข้างหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลมอยู่หลายปี เมื่อถึงเวลาพระองค์ท่านสงเคราะห์ กำลังที่คลุมลงมา ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อท่าน ก็พลอยได้รับไปด้วย
แล้วความที่เป็นคนช่างสังเกต จึงทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นกำลังของพระองค์ไหน ถึงเวลาถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะพูด จะคุย จะตอบปัญหา แต่ละพระองค์มีลีลาอย่างไร และจะตอบว่าอย่างไร ซึ่งหลวงพ่อท่านใช้คำว่า "ท่านให้ฉันพูดอย่างนั้น" หลวงตาวัชรชัยบอกว่า "ข้าโดนจับปากพูด" ส่วนกระผม/อาตมภาพเอง ก็ว่าไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น ถือว่าสงเคราะห์คนอื่นได้ก็พอ ปรากฏว่าสมเด็จองค์ปฐมท่านเสด็จมาอยู่ตั้งแต่วันแรก จนกระทั่งกรานกฐินเสร็จพระองค์ท่านถึงได้กลับไป
ถ้าใครทิพจักขุญาณดี ๆ จะเห็นพระองค์ท่านนั่งอยู่ ใหญ่เต็มจักรวาลเลย โดยมีวัดท่าขนุนตรงนี้เป็นศูนย์กลาง ตอนแรกพระองค์ท่านมา กระผม/อาตมภาพจำไม่ได้ เพราะว่ามาขาวจัด พระองค์ใหญ่มาก สว่างจัดมาก พระพักตร์เหมือนกับ "หลวงพ่อสุคโต" เลย ไม่ใช่ว่าพระพักตร์ของพระองค์ท่านเป็นอย่างนั้น แต่พระองค์ท่านตั้งใจทำให้เห็นว่าเป็นอย่างนั้น เป็นการแสดงออกว่า พระองค์ท่านสงเคราะห์ในการปลุกเสกหลวงพ่อสุคโตในส่วนที่เหลือด้วย
ในระหว่างนั้นกระผม/อาตมภาพก็ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ ปรากฏว่าไปเจอหลวงปู่อินสม สุวีโร กำลังเข้ากรรมฐาน รักษากำลังของตัวเองอยู่เหมือนกัน ก็เลยชวนกันไปเฮฮา พาหลวงปู่ท่านไปเสียคนหรือเปล่า ? เปล่านะ..หลวงปู่ท่านพาไปเอง บอกว่าไปกราบพระสำคัญกันองค์หนึ่ง ปรากฏว่าไปถึงแล้วจำท่านไม่ได้ เพราะว่าสวยเป็นพิเศษ ต้องใช้คำว่า "หล่อสุด ๆ" จนกระทั่งท่านเอ่ยปากถึงได้รู้ว่าคือหลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร ที่เพิ่งจะมรณภาพไปไม่กี่วัน
หลวงปู่ฟู วัดบางสมัครนั้น ตอนช่วงที่มีงานปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกัน เป็นพระที่อาตมภาพอยู่ด้วยแล้วสบายใจมาก เพราะไม่ว่าพระหรือว่าพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ บอกให้ทำอย่างไร ท่านรู้หมด ถึงเวลานั่งลง ถ้าหากว่าพระท่านบอกว่า "เต็มแล้ว..พอแล้ว" ลืมตาขึ้นมาก็จะมองหน้ากันพอดี เพราะว่าเป็นคำสั่งเดียวกัน บางทีท่านก็พยักหน้าให้ "เต็มแล้ว..ไปเถอะ" ปล่อยให้ท่านอื่นเขานั่งกันต่อไป สองคนปู่หลานก็ออกมาข้างนอก ให้เจ้าภาพเขาประเคนไทยธรรม รับแล้วก็กลับกันเลย
น่าเสียดายว่าหลวงปู่ท่านมรณภาพไปแล้ว แต่ว่าช่วงจังหวะที่ท่านมรณภาพ ก็น่าจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศไทย จากหนักให้เป็นเบาขึ้นมาบ้าง
ตรงส่วนนี้ก็ต้องบอกว่า บางทีพระท่านเองถึงอายุขัย ก็ยังหาจังหวะไปเพื่อสละตนเอง เป็นการตัดเคราะห์ใหญ่ของประเทศชาติไปในตัว ซึ่งในส่วนนี้พระเถระที่มีความรู้พิเศษมักจะทำกันเป็นประจำ ก็คือไหน ๆ จะมรณภาพแล้ว ก็ขอทิ้งประโยชน์ครั้งสุดท้ายเอาไว้ให้ชาวโลกบ้าง
ตรงส่วนนี้ก็ต้องบอกว่า บางทีพระท่านเองถึงอายุขัย ก็ยังหาจังหวะไปเพื่อสละตนเอง เป็นการตัดเคราะห์ใหญ่ของประเทศชาติไปในตัว ซึ่งในส่วนนี้พระเถระที่มีความรู้พิเศษมักจะทำกันเป็นประจำ ก็คือไหน ๆ จะมรณภาพแล้ว ก็ขอทิ้งประโยชน์ครั้งสุดท้ายเอาไว้ให้ชาวโลกบ้าง
เพราะฉะนั้น...ต้องบอกว่าประเทศไทยของเราโชคดีมาก อยู่ในภูมิประเทศที่เหมาะสม แล้วขณะเดียวกัน มีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อถึงเวลา ท่านเองก็สร้างประโยชน์ให้กับเรามาก เวลาอยู่ พรหม เทวดา ท่านก็ช่วยสงเคราะห์ เวลาไปก็ยังเป็นการตัดเคราะห์ตัดกรรมให้กับประเทศชาติอีกด้วย
แต่ว่าในส่วนหนึ่งก็คือ เราเองจะต้องสร้างความดี ให้เพียงพอกับการที่ท่านจะสงเคราะห์ด้วย ความดีตรงจุดนี้ ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน โดยเฉพาะตั้งแต่ความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป พรหม เทวดา ท่านจะสงเคราะห์เป็นพิเศษ
มีบุคคลประเภทหนึ่งที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ชัดเจนว่า ฐิตกัปปี ผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่ ในบาลีบอกไว้ชัดว่า ถ้าหากว่าไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลก แล้วยังมีบุคคลประเภทนี้อยู่ อย่างไรเสียไฟก็ยังทำลายโลกไม่ได้ เพราะว่าท่านจะต้องเข้าถึงมรรคผลก่อน ดังนั้น...ถ้าฐิตกัปปีบุคคล คือบุคคลที่ยังกัปให้ตั้งอยู่ มีความตั้งเจตนาอย่างแน่วแน่ว่าจะปฏิบัติเพื่อมรรคผล แล้วมีโอกาสที่จะทำได้สำเร็จ ถ้าหากว่าบุคคลประเภทนี้มีอยู่ ในสถานที่นั้นต้องบอกว่าปลอดภัยชั่วคราว ถ้าสิ้นท่านเมื่อไรก็เป็นอันว่า "ไหลมาเทมา"..!
พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
คัดลอกเพียงบางส่วนจากเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔
สามวันที่เข้ากรรมฐานไปนี่สนุกสนานมาก วันแรกเลยไปเจอหลวงปู่อินสม สุวีโร กำลังเข้ากรรมฐานอยู่เหมือนกัน ท่านก็เลยชวนไปกราบพระรูปหนึ่ง จำไม่ได้ว่าใคร จนท่านเอ่ยปาก เพิ่งรู้ว่าเป็นหลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร โห...หล่อมาก เวลาท่านอยู่เต็มบุญเต็มบารมีนี่จำไม่ได้จริง ๆ
การเข้ากรรมฐานนั้นมีสองรูปแบบ รูปแบบแรกก็คือ จิตนิ่งอยู่ภายใน แต่จะไม่สนใจอะไรภายนอกเลย ฟ้าถล่มดินทลาย แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ก็ไม่สนใจ
แบบที่สองก็คือ ท่องเที่ยวไปตามภพภูมิต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจในร่างกายเหมือนกัน ปีนี้เที่ยวไปเที่ยวมาไปเจอนางเงือก ชื่อน้องทราย น่ารักมาก ถ้ารูปร่างหน้าตานี่น่าเกลียดมากในสายตาของเรา แต่นิสัยดี น่าคบมาก มีโอกาสเดี๋ยวจะแวะไปหาอีก
สรุปว่านางเงือกจริง ๆ หน้าตาน่าเกลียดสุด ๆ ไม่ได้หน้าตาน่ารักเหมือนที่จิตรกรเขาวาดนะ
__________________
**เหรียญสมเด็จองค์ปฐมยิ้มรับทรัพย์ **
**ส่วนเนื้อปีกเครื่องบิน หรืออลูมิเนียมอัลลอยนั้น** อยากจะลองทำดูเป็นครั้งแรก เนื่องจากว่าเป็นโลหะแข็งที่มีน้ำหนักเบามาก จนกระทั่งเขาเอาไปทำเครื่องบิน อยากรู้ว่าทำวัตถุมงคลออกมาแล้ว หน้าตาจะเป็นอย่างไร ? แล้ว**อลูมิเนียมอัลลอยก็ถือว่าเป็นโลหะผสมเช่นกัน **การที่เป็นโลหะผสม ตัวรับพลังงานที่มีหลายส่วนแตกต่างกันไป ก็อาจจะมีอานุภาพพิเศษไม่เหมือนกับอย่างอื่น จึงต้องลองทำดู
ความจริงสูตรเขียวเหล็กไหลนี่สมควรจะจมหายไปใต้ธรณีแล้ว เพราะว่าคนที่คิดสูตรทำได้ ตายไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง คิดว่าสมเด็จองค์ปฐมเขียวเหล็กไหลของวัดท่าขนุน จะเป็นวัตถุมงคลชุดสุดท้ายในโลก แต่ปรากฏว่าดันมีคนรู้สูตรอยู่ ก็คือท่านอาจารย์เทพเอง ด้วยความที่ไปติดต่อขอทำเหรียญพญาเต่ามังกรหลายรุ่น ที่เป็นเนื้อเขียวเหล็กไหล แล้วก็มาทำสมเด็จองค์ปฐมเขียวเหล็กไหล ๖๐ ปี พระครูวิลาศกาญจนธรรม ไปบ่อยก็ "ครูพักลักจำ" ลักไปลักมาก็โกยของเขามาหมดเลย..!
พอมาเหรียญรุ่นนี้ อาตมภาพบอกแค่ว่า ถ้าหากว่าบล็อกพังไม่ต้องทำเนื้อเขียวเหล็กไหล เพราะว่าเนื้อแข็งเป็นพิเศษ ถึงเวลาถ้าเป็นเหรียญพิมพ์เล็ก ก็คงต้องใช้บล็อกกันเป็นเข่ง..! จะเพิ่มต้นทุนโดยใช่เหตุ แต่ก็ต้องดูความดื้อของท่านอาจารย์เทพด้วย เพราะบางอย่างท่านบอกว่า "ทำถวายครูบาอาจารย์..ตายเป็นตาย" เดี๋ยวก็ได้ตายจริง ๆ..!
สิ่งที่อยากได้มากกว่าเขียวเหล็กไหลก็คือเนื้อนวโลหะ เพราะว่านวโลหะเป็นเนื้อพิเศษ เป็นโลหะล้างอาถรรพ์ เหมาะที่จะใช้ในการทำน้ำมนต์มาก ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าเป็นความรู้ที่บูรพาจารย์ ครูบาอาจารย์รุ่นโบราณท่านค้นคว้ากันมา นวโลหะประกอบไปด้วยโลหะ ๙ อย่าง สัตตโลหะประกอบไปด้วยโลหะ ๗ อย่าง ปัญจโลหะประกอบด้วยโลหะ ๕ อย่าง เป็นต้น
การที่คิดค้นนวโลหะขึ้นมา ตอนแรกไม่ได้คิดอยากจะได้วัสดุที่ประกอบไปด้วยโลหะหลายอย่าง เพื่อที่จะนำมาใช้ประโยชน์ด้านอื่น เป้าหมายจริง ๆ ก็คือตั้งใจเล่นแร่แปรธาตุเพื่อให้ได้ทองคำ..! แต่พอทำไปทำมาแล้วเกิดได้โลหะผสมอื่น ๆ ขึ้นมา แล้วมีอานุภาพมากกว่าโลหะทั่วไป
อย่างเช่นว่า ถ้าเราศึกษาในพระคาถาโองการมหาทมื่น จะเห็นว่าโองการมหาทมื่นนี่พยายามป้องกันทุกอย่างที่จะทำอันตรายตนเองได้ โดยการระบุชื่อไปชัด ๆ เลย ธนู ธน้า ทั้งหน้าไม้ ปืนไฟ หอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง แต่ก็มีนักเลงดีที่แก้ไขได้ ก็คือใช้โลหะผสม คือคนเราต้องมีวิธีแก้ไข
แบบเดียวกับที่พระนารายณ์ไปปราบยักษ์ ที่ได้รับพรจากพระอิศวรว่าไม่ให้ตายในบ้าน ไม่ให้ตายนอกบ้าน ไม่ให้ตายกลางวัน ไม่ให้ตายกลางคืน ดูก็น่าจะครบใช่ไหม ? พระนารายณ์แปลงเป็นนรสิงห์ จับไอ้เจ้ายักษ์นั่นมาคร่อมธรณีประตูไว้ ไม่ใช่ในบ้าน ไม่ใช่นอกบ้าน รอเวลา ๖ โมงเย็น ไม่ใช่กลางวัน ไม่ใช่กลางคืน ค่อยฆ่า..ตายจนได้..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องพวกนี้ก็เลยกลายเป็นว่า โบราณาจารย์ที่เล่นแร่แปรธาตุหวังจะได้ทองคำ กลับได้โลหะผสมที่สามารถล้างอาถรรพ์ได้ และโดยเฉพาะว่าเนื้อนวโลหะมีส่วนผสมของทองคำ ซึ่งเป็นส่วนที่มีน้ำหนักมากที่สุดด้วย จึงทำให้ราคาค่อนข้างจะสูง
ตรงจุดนี้อาตมภาพตั้งใจว่าจะมอบส่วนหนึ่งให้ทางด้านวัดสี่แยกเจริญพร เพื่อหาทุนในการพัฒนาวัด เนื่องจากว่าศาลาพระครูวิลาศกาญจนธรรมอุปถัมภ์ตอนนี้ก็ใกล้เสร็จแล้ว อาตมภาพเองตั้งใจที่จะสนับสนุน เพราะว่าท่านอาจารย์เทพท่านเป็นคนทำอะไรจริงจัง
และขณะเดียวกัน อีกส่วนหนึ่งก็มาเป็นกองบุญกฐินวัดท่าขนุนดังที่ลงให้จอง ส่วนที่ลงให้จองนั้น มีแค่ ๒ เนื้อ เพราะว่าเนื้อโลหะที่รับพลังงานได้ดีมาก ๆ เลยก็คือโลหะทองคำ รองจากทองคำลงไปคือตะกั่ว ซึ่งตะกั่วนั้นมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับทองคำมาก
**ส่วนเนื้อปีกเครื่องบิน หรืออลูมิเนียมอัลลอยนั้น อยากจะลองทำดูเป็นครั้งแรก เนื่องจากว่าเป็นโลหะแข็งที่มีน้ำหนักเบามาก จนกระทั่งเขาเอาไปทำเครื่องบิน อยากรู้ว่าทำวัตถุมงคลออกมาแล้ว หน้าตาจะเป็นอย่างไร ? แล้วอลูมิเนียมอัลลอยก็ถือว่าเป็นโลหะผสมเช่นกัน การที่เป็นโลหะผสม ตัวรับพลังงานที่มีหลายส่วนแตกต่างกันไป ก็อาจจะมีอานุภาพพิเศษไม่เหมือนกับอย่างอื่น จึงต้องลองทำดู**
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

